::…………………………………………………………………………………………::
::……………………………………………::
::…………………….::
Trippin on you
Paring : Harrison x Tom ft. Harry x Asa
Part two
ทอมไม่รู้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน หรือทำอะไรอยู่.. อันที่จริงเขาควรจะเลิกถามตัวเองเสียที
บรรยากาศลมเย็นๆกับแดดอุ่นๆเกิดขึ้นพร้อมกันไม่บ่อยนัก โซนด้านนอกของร้านกาแฟจึงแน่นขนัดกว่าทุกวัน ส่วนมากก็มักจะมานั่งทอดอารมณ์มองดูสถาปัตยกรรมของตึกรามบ้านช่องรอบๆที่ดูจะสวยงามกว่าบริเวณอื่นๆในเมือง เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลเดียวกับคนอื่นๆ
“รอนานมั้ย?” น้ำเสียงคุ้นเคยกล่าว พร้อมกับเด็กหนุ่มที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม ไม่จำเป็นต้องเงยหน้ามอง แต่ก็ยังทำ.. จะให้ทำอย่างไรได้ ก็เขาต้องมนต์ดวงตาคู่นั้นไปเสียแล้ว..
“คุณเสร็จงานแล้วเหรอ?”
“บอกแล้วไงว่าเราสนิทกันแล้ว”
ให้ตาย.. ได้แต่หวังว่าความรู้สึกร้อนๆบนหน้านี่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายเห็นความผิดปกติอะไร..
“แฮร์ริสัน..”
“ดี”
เขายกกาแฟที่ถูกทิ้งเอาไว้จนเย็นชืดขึ้นจิบ พยายามให้แก้วบังหน้าตัวเองให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อยากไปไหน?” คำถามไม่คาดฝันทำเอานิ่งค้างไปพักหนึ่ง.. เขาไม่อยากทำตัวน่าเบื่อ แต่อะไรๆมันเกินคาดไปตั้งแต่ตอนแฮร์ริสันชวนเขามาหาที่กองถ่ายแล้ว..
“งั้นเปลี่ยนคำถาม.. ตั้งแต่กลับมานี่ไปไหนมาบ้าง” ท่าทางเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คนถามสะทกสะท้าน ทั้งยังยิงคำถามซ้ำ ซึ่งดูจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเท่าไรนัก
“ตามแฮร์รี่ไปทำงาน..” เสียงเล็กอ้อมแอ้มตอบกลับไป ด้วยรู้ว่ามันฟังดูจืดชืดชอบกล
“ชอบถ่ายรูปเหรอ?”
“ไม่หรอก ไม่สิ จริงๆไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ ก็เลยลองตามแฮร์รี่ไปดู”
“งั้นอยากลองเป็นคนถูกถ่ายบ้างมั้ยล่ะ?”
ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มกว้าง แบบที่ทำให้ข้างในอกพาลหล่นวูบไปชั่วขณะ และไม่ทันได้เอ่ยปากอะไรก็ถูกคว้าข้อมือให้ลุกขึ้น เก็บใส่รถเรียบร้อยก็ออกตัวพาไปยังอีกจุดหมายหนึ่งทันที..
ห้องแถวขนาดกลางปรากฏสู่สายตา โทนสีขาวดำ บวกกับการออกแบบจึงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นสตูดิโอถ่ายภาพ.. ติดแค่มันปิดล็อกไว้
“ที่นี่ของคุณเหรอ?” สายตาดุๆถูกส่งมาขณะกำลังไขกุญแจเปิดเข้าไป ทำเอารีบหุบปากฉับด้วยรู้ดีว่ามันหมายถึงสรรพนามที่ย้ำนักหนาว่าให้เลิกเสียที
“รู้จักกับเจ้าของน่ะ”
..คงจะสนิทมากทีเดียว..
อดคิดไม่ได้เมื่อดันเหลือบไปเห็นรูปถ่ายของ เจ้าตัวกับใครคนที่ว่า ตั้งอยู่มุมหนึ่งบนเคาท์เตอร์ แต่ไม่ทันได้จมอยู่กับความคิดนั้นนาน เสื้อผ้าสองสามตัวก็ถูกโยนมาจนรับไว้แทบไม่ทัน
“ไปเปลี่ยนดูสิ” คำตอบมาเร็วกว่าคำถาม ครั้นจะเถียงไปก็คงไม่ได้ความ เลยต้องจำยอมทำตาม
เสื้อเชิ้ตสีขาว กับกางเกงแสล็ค.. ไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด..
แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว คงหันหลังกลับไม่ได้
พอโผล่หน้าออกไปส่งเสียงเรียกหลังจากทำอะไรเสร็จเรียบร้อย แฮร์ริสันก็ละมือจากกล้องตัวใหญ่ ทั้งศีรษะจรดปลายเท้า และทุกการกระทำอยู่ในสายตาตั้งแต่ก้าวออกมาจากหลังม่าน.. มวลอากาศในห้องพลันเบาบางลงไป.. ทั้งตัวนิ่งเกร็งเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ มือใหญ่ลูบแต่งเส้นผมบางส่วน ปลายนิ้วเย็นลากผ่านลำคอเพียงเพื่อจะเลื่อนไปจัดปกเสื้อ
“เพิ่งรู้ว่านายถ่ายรูปเป็น..”
“มีอีกหลายอย่างที่นายไม่รู้..” ทอมเงียบ.. การชวนคุยเพื่อลดความประหม่าดูจะส่งผลตรงข้าม
“มานี่สิ..” แทบกลั้นหายใจเมื่อมือนั้นเลื่อนมาจับจูงให้เดินตามมายังฉากขาว
“บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้”
“ไปดูแฮร์รี่ทำงานตั้งหลายครั้งไม่ใช่เหรอ”
“มันเหมือนกันที่ไหนเล่า!?” อาการโวยวายของเขาทำเอาคนตรงหน้านิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ผิวแก้มขึ้นสีเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดสิ่งที่ไม่สมควรแสดงออกไปแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม หากแฮร์ริสันเพียงแต่คลี่ยิ้ม และเสียงหัวเราะของทั้งสองก็ดังขึ้นพร้อมๆกัน
ใบหน้าที่ไม่เคยเดาออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ดูอ่อนเยาว์ลง ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งเห็นยิ่งน่ามอง จนเจ้าตัวจับสังเกตได้จึงแสร้งกระแอมกลบเกลื่อนอาการเขินอายขณะที่มือก็เปลี่ยนเป็นมาจัดท่าทางให้ ความร้อนส่งผ่านบริเวณที่สัมผัสกันไม่จางหายไปไหนแม้จะละออกไปแล้ว.. ได้แต่ภาวนาให้มันไม่ออกมาแย่จนเกินรับไหว
“อ้าว ทำไมมันถึงมืดล่ะ?” ทอมชะงักเมื่อได้ยิน ลังเลว่าควรออกไปว่าควรจะออกไปช่วยดีหรือไม่ จนเริ่มนานเข้าถึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไป
“เดี๋ยวนะ นายเปิดฝาเลนส์แล้วรึยัง?”
“โอ้ โทษที” คำตอบนั่นยิ่งน่าประหลาดใจกว่าเดิมเสียอีก.. เบือนหน้าหนีด้วยกลัวจะทำให้อีกฝ่ายเสียความมั่นใจ
นั่นมัน.. แฮร์ริสันมีมุมแบบนี้ด้วยหรือนี่..
เขาลอบยิ้ม แสร้งยกสองมือป้องปากก่อนจะรีบเดินกลับเข้าฉากไปเหมือนเดิม
“ยิ้มได้ซะที”
“อะ หืมม์?”
“เปล่า แค่จะบอกว่านายยิ้มแบบนั้นแหละดีแล้ว”
คำพูดนั้นส่งผลให้ความอบอุ่นมวลเล็กๆก่อตัวโอบล้อมไปทั่วร่าง.. จะว่าแปลกใจก็ใช่ในเมื่อความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ เขาไม่เคยรู้เลยว่ากำลังต้องการมัน
นี่เขาแพ้อีกแล้วสินะ..
“แกล้งกันเหรอ?”
แสร้งเอ่ยถามทั้งที่รู้ รอยยิ้มย้ายไปอยู่บนใบหน้าของคนที่กลับมาถือไพ่เหนือกว่า ถือเป็นคำตอบได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยปาก และเมื่อสิ้นเสียงชัตเตอร์ ความอ่อนโยนในดวงตาทั้งสองก็แปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรผืนเดิมที่ดึงรั้งให้จมดิ่งซ้ำอีก ชีพจรเริ่มเต้นผิดจังหวะ ร่างกายขยับไปตามแต่น้ำเสียงทุ้มนั้นต้องการ
เบื้องหลังเลนส์กล้องนั้น เขาอยากรู้เหลือเกินว่าจริงๆแล้วแฮร์ริสันเป็นคนแบบไหนกันแน่..
.
.
“พี่ชายนายน่ะ..”
“อืมม ทอม หรือ แซมล่ะ?”
“คนที่เดทกับแฮร์ริสัน” เอซ่าเลิกคิ้วเมื่อคนฟังถึงกับสำลัก รีบวางถ้วยชาก่อนจะคว้าเอากระดาษชำระมาอย่างทุลักทุเล
“นายว่ายังไงนะ?”
“อ่า.. ให้ตาย ไม่นึกว่านายจะไม่รู้ ถือว่าฉันไม่ได้พูดออกไปแล้วกัน”
“เอซ่า!” ตั้งใจจะลุกหนีเลี่ยงบทสนทนา แต่กลับถูกรั้งเอาไว้ให้นั่งลงเหมือนเดิมเสียอย่างนั้น
ท่าทางเหล่านั้นเรียกเสียงหัวเราะน้อยๆให้กับทีมงานรอบๆห้อง.. แรกๆก็ดูจะเป็นเรื่องแปลกที่ช่างภาพหนุ่ม กับนายแบบผู้เย็นชาจะมานั่งอยู่ด้วยกัน แต่นานวันเข้ากลับกลายเป็นชินตา เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นจนเป็นเช่นปัจจุบัน
“หมอนั่นมาเล่าอะไรให้นายฟังงั้นเหรอ?”
“เปล่า แต่ใครๆเขาก็รู้กันทั่ว หมายถึง พวกฉัน” พอหลุดปากพูดไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็ดูจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที.. ที่จริงก็เจ้าตัวก็เคยเล่าให้ฟังอยู่ว่า ถึงจะชอบถ่ายรูปเพียงใดก็ไม่เคยนึกชอบงานแขนงที่ทำอยู่เลยสักนิด ถ้าไม่ติดว่าจำเป็น.. ใจจริงก็คงอยากให้เขาเลิกเต็มที แต่นอกจากไม่อยากเจ้ากี้เจ้าการชีวิตเขามากกว่าที่เป็นอยู่ อีกหนึ่งเหตุผลก็คือรู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะงานนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกัน
“แฮร์ริสันมีถ่ายแบรนด์เสื้อผ้าอีกงานหนึ่ง คนที่กองเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันตลอด”
“เจ้าพี่บ้านั่น อุตส่าห์เตือนเอาไว้แล้วเชียว” ยกสองมือปิดหน้าพลางโอดครวญ
“น้อยๆหน่อย หมอนั่นที่ว่าก็เป็นเพื่อนฉันนะ”
“ครับๆ ถ้าอย่างนั้นฝากบอกเพื่อนทีว่าละเว้นพี่ฉันไว้คนนึงเถอะ”
“แฮร์ริสันเป็นเพื่อนที่ดีนะ”
“แล้วสองคนนั้นเขาเป็นเพื่อนกันหรือไงล่ะ?” พอเจอคำนี้เข้าไปก็ถึงกับเถียงไม่ออก เอซ่าพยายามนึกสารพัดเหตุผลมาสนับสนุน อยากช่วยเพื่อนด้วยเรื่องหนึ่ง ไม่อยากยอมแพ้เจ้าคนที่กำลังวางท่าน่าหมั่นไส้ก็อีกเรื่องหนึ่งด้วย
อาการหวงพี่ของแฮร์รี่เข้าขั้นเดียวกับมอร์แกน.. พี่ชายของเขาเลยทีเดียว ถึงแม้จะรู้ว่าไม่เคยทำอะไรเจ้าเพื่อนคนนี้ได้ แต่มาถึงขั้นนี้แล้วคงต้องพูดอะไรบ้างสักหน่อย..
และเพราะวุ่นวายกับความคิดตัวเองจนไม่รู้ว่าทำสีหน้าแบบไหนออกไป รู้ตัวอีกทีก็เห็นอีกฝ่ายอมยิ้มอยู่แบบนั้น
คนเขาเครียดแทบตาย มันน่ามั้ยล่ะนั่น..
“ขำอะไร?”
“หืมม์? ใคร? ฉันเหรอ?” ริมฝีปากบางขยับเป็นคำสบถแบบไม่ออกเสียง แฮร์รี่หัวเราะ
เจ้าเด็กบ้านี่…
โชคยังเข้าข้างบ้างที่ถึงเวลาต้องไปทำงานต่อพอดี ไม่ต้องนั่งอยู่ให้เด็กมันปีนเกลียวจนไปไม่เป็นอีก
“เอซ่า”
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นทันทีที่หันไป เขาอ้าปากค้างด้วยคิดหาคำด่าไม่ออก จะว่าชินแล้วก็ใช่ จะว่าไม่ชินก็ใช่อีก.. ทำได้แต่ชูนิ้วกลางใส่ให้ก่อนจะเดินหนีออกไปดื้อๆ ได้แต่หวังในใจว่ารอยยิ้มน้อยๆนี่จะไม่หลุดไปให้อีกฝ่ายเห็น ไม่อย่างนั้นคงได้โดนล้อไปอีกครึ่งค่อนวันแน่
.
.
“ไม่มี”
“หาอะไรอยู่?” แฮร์รี่ชะโงกหน้ามาถามจากนอกห้อง หากแต่คิ้วเรียวสวยยังขมวดมุ่นเมื่อยังไม่พบสิ่งที่ต้องการ ร้อนถึงอีกคนต้องเข้ามาช่วยจนได้
“ฉันว่าฉันลืมแจ็คเก็ตของแฮร์ริสันไว้ห้องนาย ถ้าไม่คืนโดนด่าตาย” พอได้ยินชื่อต้องห้ามก็ถึงกับกรอกตา รีบตรงมาฉุดแขนเขาให้เดินตามออกมาเสียที อุตส่าห์เผื่อเวลาหลังเลิกงานเอาไว้แล้ว ไม่วายจะได้โดนมอร์แกนเขม่นเอาอีก
“ช่างมัน”
“แฮร์รี่” น้ำเสียงกดต่ำแบบที่รู้ดีว่ากำลังจะโดนโกรธทำให้เจ้าตัวส่งเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ
“เออๆ รู้แล้วน่า เดี๋ยวหาให้”
“เดี๋ยว” รั้งแขนอีกฝ่ายเอาไว้ หงุดหงิดเล็กน้อยตอนถูกทำสีหน้าใส่ว่ามีอะไรอีก.. จะต้องให้เตือนทุกครั้งหรือไงนะ..
“เสื้อ.. เอาของนายมายืมด้วย” นึกอยากจะทุบเจ้าของรอยยิ้มกวน รวมถึงสายตาคอยไล่มองร่องรอยบนลาดไหล่เขา แต่พูดไปก็จะเข้าตัวเปล่าๆจึงได้แต่รับแจ็คเก็ตที่ถูกถอดส่งมาให้เงียบๆ
เขาคงจะมีปัญหากับแจ็คเก็ตไปอีกสักพัก เมื่อพบกับแฮร์ริสันที่สตูดิโอในอีกหลายวันให้หลัง มองเห็นการแต่งกายอีกคนแล้วก็ได้แต่เบ้ปาก
“เสื้อนั่น นายไปเอาคืนมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“อ้อ เนี่ยเหรอ พอดีรีบใช้เลยไปเอามาก่อน” เจ้าเพื่อนตัวดีหัวเราะแบบไม่ใส่ใจนัก แต่ไม่ใช่สำหรับเขาแน่นอน เอซ่าลากคอคนที่ทำท่าไม่ทุกข์ร้อนให้มานั่งคุยกันให้รู้เรื่อง
“ที่บ้านแฮร์รี่เนี่ยนะ?”
“ใช่” อาการเลิกคิ้วท้าทายพร้อมกับคำตอบแบบไม่กลัวเกรงนั้นยังกวนอารมณ์ได้ดีเหมือนเคย
“แฮร์ริสัน”
“โอเคๆ ยอมแล้วครับ มีอะไรจะว่าผมอีกก็เชิญเลยครับ”
“คนนี้ไม่ใช่คนที่นายจะมาทำเล่นๆได้นะ”
“เพราะเป็นพี่ชายของแฮร์รี่อย่างนั้นเหรอ?”
เอซ่าไม่ตอบ พวกเขาเป็นเพื่อนกันมานานถึงได้รู้ว่าภายในความเงียบนั้นแฮร์ริสันย่อมเข้าใจว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
“นายก็รู้ว่าฉันไม่เคย ‘เล่นๆ’ ”
“เออ รู้เว้ย แต่คนอื่นเขาไม่ได้มารู้ด้วย” อยากจะร้องตะโกนกับอาการถอนหายใจนั่นว่าควรจะเป็นเขาต่างหากที่ต้องทำแบบนั้น ทว่าความหมายแฝงในถ้อยคำเหล่านั้นก็ทำให้ใจอ่อนลงได้บ้าง
แม้คนเกือบทั้งโลกจะไม่เข้าใจ แต่เขาเข้าใจแฮร์ริสัน.. และเจ้าตัวก็หวัง และตามหาหนึ่งในไม่กี่คน ที่จะเข้าใจ และยอมรับกันและกันได้จริงๆ
เพียงแต่วิธีการออกจะแย่ไปหน่อย..
“ถ้าไม่มั่นใจก็อย่าไปยุ่งกับเขาแค่นั้น”
“ประโยคนั้น แฮร์รี่ฝากมาบอกรึไง?”
“ไม่มีใครฝากบอกทั้งนั้นแหละ” คราวนี้เขาตัดบทด้วยการชิงลุกขึ้นก่อน ริมฝีปากบางเม้มแน่นเมื่อทำใจจะเอ่ยประโยคน่าอาย
“ไม่ใช่แค่ทอมนะที่น่าเป็นห่วง”
เจ้าคนพูดหนีไปแล้ว เหลือทิ้งไว้ก็แต่แฮร์ริสันที่ได้แต่หัวเราะพลางส่ายศีรษะให้กับความปากแข็งของเจ้าตัว ก็ชอบทำตัวน่ารักแบบนี้จะไม่ให้ทั้งพี่ชายทั้งแฟนหวงได้ยังไงกัน..
TBC
TALK : มาแล้วค่า ด้วยความที่ตอนแรกเขียนในทวิตไปเรื่อยๆ เลยไม่ได้เซตติ้งอะไรมาก ตอน2ก็เลยพยายามลงดีเทลให้มากขึ้น (เรอะ?😂) อาจมีบางจุดที่พลาดไป ยังไงตอนหน้าๆก็จะทำให้ดีขึ้นนะคะ ตอนนี้เริ่มจะมีหลายฉากที่ไม่ได้ลงในทวิตแล้ว (ตอนแรกปาไปเกือบทั้งเรื่อง) มีมุมของแฮร์รี่เอซ่าเยอะขึ้นด้วย หวังว่าจะชอบกันนะคะ 😘