(Spirk)Little Universe

Little Universe

Paring : Spirk

Note : ฟิคนี้เขียนเพื่อแลก สคส.2017 ค่า ขอบคุณคนแลกที่ให้เอามาแชร์ลงบล็อคนะค้าา

 

 

หลายครั้งที่ดวงตาสีฟ้าเผลอมองไปที่คนคนหนึ่ง.. ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่สถาบัน จวบจนทำงานบนยานเอ็นเตอร์ไพรซ์ ด้วยโชคชะตาหรืออะไรก็แล้วแต่ คนคนนั้นกลายมาเป็นต้นเรือของเขา

ทุกครั้งที่รู้สึกตัวก็พยายามห้ามไม่ให้ตัวเองไปสนใจเรื่องราวของลูกเรือคนนี้มากนัก หากแต่การกระทำทุกอย่างกลับผ่านจากสายตาเข้าสู่ห้วงคำนึงของเขาอยู่แทบจะทุกเวลา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ของเขาต่อแฟนสาว อูฮูร่า..

ในช่วงแรก เจมส์ ที เคิร์ก พยายามให้เหตุผลตัวเองว่า ชาววัลแคน ช่างมีบางอย่าง ‘น่าสนใจ’ กว่าเอเลี่ยนสายพันธ์อื่น ทว่าความรู้สึกวูบโหวงภายในใจทุกครั้งยามที่เห็นสองคนใกล้ชิด และพัฒนาความสัมพันธ์ต่อกันขึ้นไปเรื่อยๆ ยังไม่รวมถึงหลายเหตุการณ์ ที่สป็อคทำให้ทุกคน ซึ่งไม่ใช่แค่เขา ตระหนักได้ว่า วัลแคนใช่ว่าจะไร้ความรู้สึกไปเสียทีเดียว พวกเขามี ต่อคนที่เขา ‘รัก’ ยิ่งคิดเขา ‘เจ็บปวด’ ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขาใช้เวลาพอสมควรกว่าจะ ยอมรับ และ ค้นหาว่าสาเหตุมันมาจากที่ใด

เขาหลงรักสป็อค..

และมันไม่มีวันเป็นไปได้

 

จิมเลือกที่จะวางสถานะเป็นแค่ ‘เพื่อน’ ที่ดีตลอดไป และมันควรจะเป็นอย่างนั้น..

 

.

.

 

เจ้าของผมสีบลอนด์เงยหน้ามองท้องฟ้าแปลกตาของเมืองยอร์คทาวน์ โดยมีศูนย์บัญชาการสตาร์ฟลีทเป็นฉากหลัง.. เขาย้อนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา เป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่มาช่วยงานที่นี่ ทุกอย่างค่อนข้างกะทันหัน เมื่อพลเรือที่เคารพติดต่อมาหา โดยเขาซึ่งกำลังอยู่ใน ‘สถานการณ์ที่น่าอึดอัด’ จึงรีบตกปากรับคำ ออกเดินทางมาแทบจะทันที

 

“กัปตันเคิร์ก..” เขาหันไปตามเสียงเรียก และเมื่อพบว่าเป็นใครจึงโค้งเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ

“คุณปารีส.. เลิกงานแล้วเหมือนกันเหรอครับ”

“ฉันอยากมาขอบคุณคุณอย่างเป็นทางการ ที่อุตส่าห์มาช่วยทางนี้ ทั้งๆที่งานบนเอ็นเตอร์ไพรซ์ก็ล้นมืออยู่แล้ว”

“ไม่เลยครับ ผมยินดี” เขาฝืนพูด พลางกลืนน้ำลายเฝื่อนคอ แน่นอนว่าเขาเต็มใจจะช่วยผู้มีพระคุณ แต่ก็อดละอายใจไม่ได้เมื่อรู้ดีว่าสาเหตุหลักของตนคืออะไร

จิมสนทนากับผู้สูงวัยกว่าได้เพียงชั่วครู่ เครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าก็ร้องดังขึ้นมาขัดจังหวะ เธอจึงถือโอกาสกล่าวลากลับเข้าไปในตัวอาคาร มือที่กดรับไม่ทันไร กลับกลายเป็นต้องรีบเอามันให้ห่างออกจากหูเมื่อปลายสายตะโกนกลับมาดังลั่น

“เจ้าจิม!! แก จะหยุดสร้างปัญหาให้ฉันสักวันได้ไหมหา!!?”

“โธ่ โบนส์.. นี่ฉันมาทำงานน้า..”

“ทำมาพูดดี นายให้ฉันโกหกลูกเรือทั้งลำว่าไปพักร้อน จะได้ไม่มีใครรู้ว่านายไปไหน ทีนี้จะเล่าได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนายและเจ้าก็อบลินหน้าเขียวนั่น”

ดีกรีความหงุดหงิดที่ยังคงปะทุ ทำเอาเผลอหลับตาปี๋โดยไม่รู้ตัว ไม้ตายเสียงโอดครวญแบบลูกหมาดันใช้ไม่ได้ผล

“เออ.. คือ เรื่องมันยาวนะ”

“ฉันออกกะแล้ว มีเวลาฟังนายทั้งคืน” เขาถอนหายใจ เมื่อต้องสั่งการให้สมองปะติดปะต่อเรื่องราวที่อยากจะลืมเพื่อเล่าให้กับเพื่อนตัวแสบของเขาอย่างเสียมิได้

 

 

“เรื่องของเรื่องมันเกิดตั้งแต่วันคริสมาสต์ที่ผ่านมา…..”

 

.

.

.

 

 

จิมไล่ชนแก้วกับทุกคนตั้งแต่หน้าประตูจนถึงบาร์ ทุกครั้งที่หยุดแวะก็จะมีเสียงผิวปาก พร้อมๆกับโห่แซวดังขึ้นไม่ขาดสายแทบจะแข่งกับดนตรีในคลับทีเดียว แค่เห็นลูกเรือยิ้มแย้มมีความสุข กัปตันอย่างเขาก็พลอยดีใจไปด้วย

การปิดไนต์คลับฉลองคริสมาสต์ครั้งนี้เป็นไอเดียของเขา กับโบนส์ และซูลู ที่ลงความเห็นกันว่า ไหนๆก็ได้ชอร์ลีฟบนโลกในวันหยุดยาวทั้งที น่าจะมีปาร์ตี้เล็กๆเป็นของขวัญให้ลูกเรือบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องแบบนี้เขาไม่เคยขัดอยู่แล้ว

 

สายตาหยุดลงที่แผ่นหลังคุ้นเคยบนเก้าอี้บาร์พอดี เจ้าตัวยิ้มเผล่ และทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

“ไง พ่องานโบนส์ วันนี้ไม่เมาไม่ให้กลับนะ”

“เหอะ! ฉันน่ะถึงอยากก็เมาไม่ได้ เพราะต้องคอยหิ้วนายกลับไงล่ะ เจ้าหนู!”

คำตอบที่ได้รับทำเอาเขา และคนอื่นรอบตัวหัวเราะร่วน ก่อนที่บทสนทนาจะถูกต่ออย่างลื่นไหล เจ้านายเป็นยังไงลูกน้องก็เป็นอย่างนั้นท่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะลูกเรือเอ็นเตอร์ไพรซ์วันนี้ดูท่าจะรื่นเริงกับงานเลี้ยงเป็นพิเศษ

“ว่าแต่ กัปตัน คุณสป็อคไม่มาเหรอครับ”

“เชคอฟ!เอ็งจะไปถามถึงมันทำไมวะ เหล้าขมหมดเลยเนี่ย” เสียงโอดครวญจากโบนส์ที่ดังขึ้นทันทีทำเอาทุกคนระเบิดหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่รู้สิ.. ฉันชวนแล้วนะ แต่เขาบอกว่าต้องเร่งมือเรื่องงานวิจัยที่นิววัลแคนขอร้องมา”

 

“ถ้าถึงขั้นกัปตันเป็นคนเอ่ยปากแล้วปฏิเสธนี่คงยากแล้วล่ะ”

“ช่ายยย ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่อูฮูร่า..” ประโยคต่อไปถูกตัดฉับ เมื่อสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มจะหนาวๆพิกล และสาเหตุจะมาจากใครไม่ได้นอกจาก คุณหมอประจำยาน

จิมยิ้มบางๆแทนคำตอบ

ชีวิตนี้เขาจะต้องขอบคุณโบนส์สักกี่รอบกันนะ..

 

อูฮูร่า ลูกเรือที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมชะตากรรมกับเขาหลายต่อหลายครั้ง ..และคนรักของสป็อค ทั้งคู่เคยเลิกกันไปครั้งหนึ่ง สถานะปัจจุบัน ยังไม่ชัดเจน และไม่มีใครกล้าถามแม้แต่เขาเองก็ตาม

ในสายตาของลูกเรือ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทุกคนแอบสงสัย ในความสนิทสนมของกัปตันและต้นเรือ แต่บางเรื่องที่เล่าต่อๆกันก็เกินจริงไปมาก อย่างเช่น พ่อของสป็อคอยากได้เขามาเป็นลูกสะใภ้ (หรือลูกเขย..?) จนถึงขนาดทาบทามจะให้มาทำพิธีกันที่ดาวนิววัลแคน

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีใครกล้าให้ถึงหูสป็อค ซึ่งสำหรับจิมเองมีสายอย่างโบนส์คอยมารายงานเรื่อยๆอยู่แล้ว แต่เขาเองไม่ได้ถือสาอะไร ในเมื่อความจริง ระหว่างพวกเขามันไม่มีอะไรมากไปกว่า ความสนิทสนมกันแบบ ‘เพื่อน’

 

“เฮ้ กัปตัน! คุณต้องอยากดูนี่แน่ๆ!” เสียงร้องเรียกจากอีกฝั่งของห้อง ดึงให้หลุดจากภวังค์ ริมฝีปากเปรยยิ้ม เขาคลายมือที่เผลอกำเอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัวออก ก่อนจะเดินไป ละเอาความคิดฟุ้งซ่านไว้เบื้องหลัง
และจิมก็ลืมมันไปจริงๆ เพราะ ‘อะไรที่อยากให้ดู’ มันคือการดวลแก้วกันอย่างไม่ยั้ง ยิ่งพ่วงตำแหน่งกัปตันเขายิ่งปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งช่วงหลังๆแก๊งโบนส์ ที่อยู่ที่บาร์เมื่อสักครู่ถูกลากเข้ามาร่วมด้วยแล้ว ตอนนี้เรียกได้ว่า ใครยังไม่โดนให้ดื่มหมดแก้ว นี่แทบจะถูกกรอกปากกันเลยทีเดียว

อาการมึนเมาเริ่มเข้าครอบงำ ถ้าปล่อยไปตามน้ำมากกว่านี้คงไม่ดีแน่ เจ้าพวกนี้เวลาแกล้งคนทีไม่เคยสนหน้าอินทร์หน้าพรหม และเขายังไม่อยากมีภาพเด็ดให้โดนล้อไปทั้งปี เมื่อมองซ้ายมองขวา เห็นว่าตอนนี้ทุกคนกำลังสนใจกลุ่มสาวๆบนฟลอร์ จึงสบโอกาสรีบเดินออกมาสูดอากาศด้านนอก

 

ไอเย็นๆพัดเข้ามาใส่ทันทีที่เปิดประตูออกไป สองมือรีบซุกกระเป๋าเสื้อโค้ท

หิมะ..ใกล้จะตกแล้วล่ะมั้ง..

อากาศที่ไม่เป็นใจทำให้ยอมแพ้จนจะกลับไปข้างในเหมือนเดิม หากสายตาไม่ไปสะดุดลงที่เงาร่างคุ้นตา

 

“สป็อค..!?”

เจ้าของชื่อเร่งฝีเท้ามาที่เขาแทนคำตอบ สป็อคสวมเสื้อโค้ทสีดำตัวเดิม กับผ้าพันคอไหมพรมสีกรมท่า แค่เสื้อผ้าง่ายๆตามสไตล์  แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่ามันทำให้ชายหนุ่มดูโดดเด่น ยิ่งในคืนวันคริสมาสต์ที่เต็มไปด้วยสีสันแบบนี้ ว่าแล้วก็อยากจะชกหน้าตัวเองแรงๆ หากโบนส์อยู่ด้วยเขาคงโดนเอ็ดลั่น ว่าทำหน้า ‘เคลิ้ม’ ไปโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว

“จิม..”

“นาย.. มาได้จริงๆด้วย” จิมเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อ พวกเขายืนห่างกันไม่ถึงคืบ ทั้งที่วัลแคนมีร่างกายที่เย็นกว่ามนุษย์ แต่เขากลับรู้สึกอุ่นขึ้นมาเมื่อมีอีกคนอยู่ข้างๆเสียอย่างนั้น

“ผมบอกคุณไปแล้วว่าหากทำงานเสร็จทัน ผมจะมา”

“อืม.. เอ่อ นายคงไม่รู้ว่าสำหรับมนุษย์มันคือคำปฏิเสธกลายๆน่ะ” สีหน้ายุ่งๆที่ส่งมาจากอีกฝ่าย ทำเอาเขาอดหัวเราะเบาๆไม่ได้ นี่คงแอบนินทาชาวโลกในใจอีกแน่

“ช่างเถอะ นายมาก็ดีแล้ว เข้าไปข้าง..” ยังไม่ทันขาดคำ เสียงเพลงจากด้านในดังขึ้นกว่าเดิม ตามมาติดๆด้วยเสียงปรบมือเฮฮา เขาชะงักก่อนจะเปิดแง้มดู ตอนนี้หนึ่งในลูกเรือกำลังถอดเสื้อและโชว์ลีลาการเต้นรำบนโต๊ะ ในขณะที่โบนส์ถูกยุยงให้ขึ้นไปเป็นรายต่อไป ดูเหมือนว่าลูกเรือชายทุกคนจะตกเป็นเหยื่อ หลังจากที่สาวๆได้แสดงโชว์ไปแล้ว เมื่อคิดได้เขารีบปิดประตูฉับ

“ฉันว่า เราไปที่อื่นกันดีไหม.. นายไม่อยากเข้าไปตอนนี้แน่ สป็อค” ประโยคหลังถูกพูดต่อทันทีเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะขัด

เขารีบดันหลังสป็อคให้ออกเดินไปจากที่นี่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพาดแขนโอบไหลกว้างอย่างคุ้นเคย จากนั้นเขาก็ลืมทุกสิ่งรอบตัว.. พวกเขาพูดคุยกันเหมือนทุกวัน ถึงแม้จะส่วนมากจะเป็นเขาที่พูด สป็อคที่ฟัง และคอยออกความเห็นกวนๆขัดเขาอยู่เรื่อย แต่ก็รู้สึกมีความสุขอย่างที่มันเป็น

เขาชอบ เวลาที่ริมฝีปากบางนั้นยกขึ้นน้อยๆ เพราะมันเหมือนกับกำลังยิ้มให้เขา

เขาชอบ เวลาใบหน้าคมเข้มหากแต่เรียบเฉยนั้นตั้งใจมองมาที่เขา เวลาที่เล่าอะไรให้ฟัง

 

บางครั้งพวกเขาก็คิดอะไรเหมือนกัน และบางครั้งก็ต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ..หลายครั้งที่เขาไม่รู้ตัวว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่า มันเป็นความเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด และวกกลับไปที่ความคิดบ้าๆที่ว่า..

 

ทำไมถึงไม่เป็นเขา..

 

“จิม.. เรากำลังจะไปที่ไหนกัน?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม หลังจากที่เดินออกมาสักพัก ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในย่านการค้า แต่ด้วยเวลาขณะนี้ ร้านรวงส่วนมากจึงปิดไปหมดแล้ว จิมกวาดตาดูรอบๆ และยิ้มออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นกลุ่มแสงไฟจากซุ้มประตู และต้นคริสมาสต์ห่างออกไปไม่ไกลนัก

 

“ไงสป็อค นายเคยมาเดินตลาดนัดวันคริสมาสต์หรือเปล่า” จิมถามอย่างร่าเริง แทบไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ เมื่อกำลังตื่นตาตื่นใจกับของแปลกๆจากต่างดาวที่นำมาวางขายหลากหลาย

“ไม่ครับ.. ชาววัลแคนไม่เฉลิมฉลองคริสมาสต์ เลยไม่มีการออกร้านแบบนี้”

“งั้นนี่ก็เป็นครั้งแรกสินะ นายอยากดูอะไรเป็นพิเศษไหม? อ้อ หิวรึเปล่า?”

“จิม วัลแคนไม่..”

“หยุดเลย ฉันผิดเองที่ถาม.. แต่ขอเดาว่านายยังไม่ได้กินอะไรเลย เพราะมัวแต่ปั่นงานสิท่า” พูดจบก็รีบนำอีกฝ่ายเดินหาร้านอาหาร ซึ่งก็ไม่ได้ยากนัก แต่ละร้านถูกจัดเป็นซุ้มอย่างดี โคมไฟสีนวลดวงน้อยห้อยตามเสาแต่ละต้น ทอดยาวไปถึงยอดซุ้ม โต๊ะเก้าอี้ไม้สะดวกต่อการจัดเก็บ แต่เรียบง่าย เข้ากันกับของตกแต่งวันคริสมาสต์ จิมมองบรรยากาศรอบตัวอย่างชื่นชม จนเริ่มเอะใจว่าทุกโต๊ะล้วนมีแต่คู่รัก

“เอ่อ ขอโทษทีนะที่ลากนายมา นายคงอยากเจออูฮูร่าก่อนสินะ?” เขาเอ่ยถามเสียงเจื่อน อาหารที่เพิ่งมาเสิร์ฟดูจะกร่อยไปทันทีเมื่อจู่ๆน้ำย่อยก็หยุดทำงานกะทันหัน

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะถึงผมชวนเธอ ก็คงไม่มาอยู่ดี” คำตอบที่ได้รับราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป แต่คนฟังกลับอ้าปากค้าง สิ่งที่เคยสงสัยก่อนหน้านี้กระจ่างชัดในประโยคเดียว เสียแต่ว่ารู้ในเวลาที่ผิดไปมาก

“เอ่อ ฉันขอโทษจริงๆนะ..” ความรู้สึกผิดแล่นขึ้นมาจับใจ เมื่อคนตรงข้ามก้มหน้าหลบสายตาเขา ทั้งๆที่อาหารในจานก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น

“คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษผม จิม.. บางที ผมอาจจะเป็นอย่างที่เธอว่า..

ผมคง ไม่มีวันเข้าใจหัวใจของมนุษย์จริงๆ..”

 

ไม่มีใครพูดอะไรอีก ไม่มีเสียงใดๆนอกจากส้อมและจานที่กระทบกัน จวบจนกระทั่งพวกเขาเดินออกมาจากร้านอาหาร จิมนึกอยากจะกระโดดออกนอกโลกไปตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอดที่ดันถามเรื่องไม่เป็นเรื่องออกไป

ลึกๆเขาอยากจะเถียงไปว่า สป็อค ‘มีความรู้สึก และ เข้าใจ’ มนุษย์มากกว่าที่เจ้าตัวคิด เขารู้ดี เพราะเขาเฝ้ามองมาตลอด.. เขาเห็นความพิเศษนั้นจากสป็อคที่ส่งไปให้ใครอีกคนหนึ่ง แต่ทุกอย่างกลับหยุดอยู่เพียงลำคอ ไม่สามารถกล่าวออกไปได้

เขากลัว.. ว่าจะเผลอพูดอะไรออกไป ทำให้อีกฝ่ายรู้.. และเขาไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการคำตอบ..

 

เท้าที่กำลังจะก้าวต่อหยุดชะงักลง เมื่อหันกลับไปก็พบกับสป็อคที่มักจะเดินตามหลังเขาหนึ่งก้าวเสมอ.. และขณะที่เขากำลังจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ไร้สาระพอจะทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ปรากฏสู่สายตาก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ

 

 

“จิม.. ด้วยอายุ และตำแหน่งการเป็นกัปตันที่ได้เห็นอวกาศแทบทุกวันแล้ว.. มันไม่มีเหตุผลเลยที่คุณอยากเล่นเครื่องเล่นชนิดนี้..” สป็อคยังคงยืนยันคำเดิม ถึงแม้พวกเขาจะยืนอยู่หน้าสุดของแถวแล้ว

“เหอะน่าสป็อค ชิงช้าสวรรค์กับวันคริสมาสต์น่ะเป็นของคู่กันนะ” ไม่พูดเปล่า จิมดันหลังสป็อคให้เดินนำหน้าเข้าไปในกระเช้าโปร่งใสที่มาถึงพวกเขาพอดี “เฮ้.. ดูสิๆมันเคลื่อนแล้วสป็อค!”

จิมเหลือบมองสป็อคที่แสดงอาการเหมือนกับถอนหายใจ ซึ่งเป็นทุกครั้งเวลาเขาทำอะไรที่โบนส์มักจะบอกว่าเป็นการ ‘เล่นซน’ พลางปลดผ้าพันคอออกจากอากาศที่อุ่นขึ้นจากฮีทเตอร์ ดวงตาสีน้ำตาลเหม่อมองออกไปด้านนอกโดยไม่หันกลับมาอีก จนดวงตาอีกคู่มองตามไปยังทิศทางนั้น.. พบเพียงทิวทัศน์ของโลก แสงไฟหลากสีทั้งจากอาคาร และยานยนต์ประปราย

เขาอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นกำลังคิดอะไรอยู่..

พวกเขามองเห็นสิ่งเดียวกัน อยู่ในดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน แต่สิ่งที่คิดอาจต่างกันโดยสิ้นเชิง.. คนบางคนอาจเป็นจักรวาลเล็กๆของใครคนหนึ่ง อยู่ในห้วงคำนึงแทบจะตลอดเวลา

แล้วตัวเขา.. พอจะเป็นเพียงแค่ฝุ่นธุลีที่อยู่ในจักรวาลของสป็อคได้ไหมนะ..

 

ฉับพลัน เสียงเครื่องยนต์ดับลงก็ดังแทรกขึ้นมา พวกเขามองหน้ากัน เมื่อพบว่าค้างอยู่บนจุดสูงที่สุดของชิงช้าสวรรค์ ดวงไฟ และเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานปกติทำให้เข้าใจได้ว่าคงเป็นการบริการลูกค้าให้ได้ชื่นชมทิวทัศน์ของเมืองได้นานขึ้น

 

“โรแมนติคชะมัดเลยเนอะ” จิมเอ่ยขึ้นมาแก้เก้อ เมื่อพวกเขาต่างหันกลับมานั่งจ้องตากันหลายวินาทีโดยไม่มีใครพูดอะไร

“ผมคงต้องบัญญัติคำศัพท์คำใหม่ของมนุษย์ว่า เหตุการณ์แบบนี้เรียกว่า ‘โรแมนติค’ ” คำตอบสมกับเป็นเจ้าตัวจนเขาหลุดหัวเราะ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยแซวต่อ วัตถุสีขาวที่ค่อยๆร่วงลงมาด้านนอกก็เบนความสนใจไปเสียก่อน

“สป็อค!ดูนี่สิ หิมะตกแล้ว” ไม่พูดเปล่า เขารีบเขยิบไปชิดริมขอบหน้าต่าง ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาได้ฉลองไวท์คริสมาสต์อย่างมีความสุข และทันทีที่สังเกตเห็นหน้าต่างระบายอากาศด้านบนของกระเช้า เขาก็ลุกยืนขึ้นบนที่นั่ง มือขาวผลักให้มันเปิดออก โดยใช้แรงไม่มากนัก ยังไม่ทันจะได้สัมผัสเกล็ดหิมะ กับลมเย็นๆ คนตรงข้ามกลับรีบลุกขึ้นมาคว้าข้อมืออีกข้างเอาไว้

“จิม มันอันตราย ผมขอให้คุณลงมาเดี๋ยวนี้” สีหน้าดุๆพร้อมกับคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากัน ไม่ได้ทำให้กัปตันคนเก่งกลัวแม้แต่น้อย รอยยิ้มหวานๆถูกส่งให้แทน

“สป็อค ฉันเป็นกัปตันยานอวกาศนะ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”

“มันไม่เกี่ยวว่าคุณเป็นกัปตันหรือไม่..” แม้จะไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมีน้ำหนักมากเพียงใด และแม้ความหมายที่เข้าใจจะต่างกัน.. แววตาที่อ่อนลง แต่กลับไม่ผ่อนแรงที่กระชับข้อมือ การแสดงออกที่คล้ายกับความเป็นห่วงนั้นมากพอที่จะทำให้เขาพยักหน้าเงียบๆ ยอมทำตามแต่โดยดี

ทว่าจังหวะที่กำลังจะก้าวลงมานั้น เขากลับเสียหลัก และก่อนที่จะร่วงลงไปกระแทกกับพื้น สป็อคก็รับเขาเอาไว้ทัน ความอุ่นจากร่างกายที่แนบสนิทกัน ไม่เท่ากับอุณหภูมิบนหน้าของจิม วงแขนแกร่งที่โอบรอบตัวเอาไว้ทำให้ยากที่จะฝืนกายออกมา ชั่วอึดใจเขาค่อยๆรวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีน้ำตาล.. ที่แสดงความสับสนระคนตกใจเช่นกัน สีหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากสป็อคทำให้เขารู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแปลกๆ เมื่อพยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ ถึงพบว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่มีอาการเช่นนี้ แต่ละวินาทีผ่านไป จนสป็อคเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว มือใหญ่ละออกช้าๆ หากแต่จิมกลับคว้าเอาไว้ดังเดิม

 

“สป็อค.. ถ้าตอนนี้นายอยู่กับอูฮูร่า นายจะทำอะไร..”

 

จิมแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองตอนที่พูดออกไป.. เหมือนสมองที่สั่งการอยู่แสนไกล และเขาไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้อีกต่อไป และตัวเขาแทบจะลอยออกนอกอวกาศ เมื่ออีกฝ่ายก้มลงมาแนบริมฝีปากแทนคำตอบ

เขาปล่อยให้ตัวเองจมหายไปในอ้อมกอดแข็งแรงนั้น พร้อมๆกับเอียงรับองศาจูบแสนหวาน ยิ่งเมื่อปลายลิ้นแตะสัมผัสกัน ทุกอย่างก็พลันสว่างสุกใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาพ่ายแพ้.. ไม่สามารถต่อกรกับเหตุและผลใดๆโดยสิ้นเชิง

เมื่อไรไม่รู้ที่มันจบลง เหลือเพียงเสียงหอบหายใจ จนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์ของชิงช้าสวรรค์ทำงานดังขึ้นขัดการประมวลผลของสติสัมปชัญญะ ทั้งสองสะดุ้งเล็กน้อย จิมรีบกลับไปนั่งที่ของตนอย่างเรียบร้อยจนน่าตกใจ

 

ไม่มีใครพูดอะไรอีกจนกระเช้าเทียบท่า และสป็อคเดินมาส่งเขาที่ห้องพัก

 

จนกระทั่งวันหยุดยาวจบลง..

 

จิมหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมา พบเพียงหน้าจอที่แสดงว่าไม่มีข้อความเข้าตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น.. มือเรียวโยนมันลงบนเตียงนอนอย่างหัวเสีย เขามองไปที่ประตูห้องน้ำที่เชื่อมไปยังห้องนอนของใครบางคนเพียงชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจออกจากห้องของตนไป..

 

“กัปตันมาที่สะพานเรือ”

เขายิ้มทักทายให้กับทุกคนตามปกติ ยกเว้นชายหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มสีฟ้าสเตชั่นวิทยาศาสตร์ที่คุ้นเคยที่นั่งหันหลังอยู่เป็นประจำ

แน่นอนว่าเขามีความเป็นมืออาชีพมากพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์ชวนเสียสติเท่าไรก็ตาม จิม เคิร์ก บอกตัวเองอย่างนั้น แต่พลันสะดุ้งสุดตัว เมื่อน้ำเสียงทุ้มดังขึ้นข้างหูอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

“กัปตัน”

“อ่ะ หา ว่าไง สป็อค” เขาหันไปทำหน้าที่คิดว่าปกติที่สุดในชีวิต ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานั้นช่างดูเป็นปกติยิ่งกว่าจนน่าใจหาย

“ผมสรุปรายงานภารกิจครั้งล่าสุดเสร็จแล้ว อยากให้คุณลองตรวจดูอีกครั้ง”

ขณะที่กำลังรับแพดที่ถูกส่งมา ปลายนิ้วทั้งสองแตะกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน จิมปล่อยมือทันที

เสียงวัตถุหล่นกระแทกพื้น เบนความสนใจของคนทั้งสะพานเรือ แม้แต่ลูกเรือที่กำลังพูดคุยกันเบาๆยังต้องหยุดลง

 

“โทษที../ขอโทษครับ”

สองประโยคที่ดังขึ้นซ้อนกัน ไม่เท่ากับการที่พวกเขาก้มลงไปเก็บมันพร้อมกัน คราวนี้จิมชักมือกลับได้ทันควัน

 

“ขอบใจ วางไว้ตรงนั้นแหละ”

ทันทีที่อีกฝ่ายหันหลังกลับไปนั่งที่ของตน ในใจเขาแทบอยากจะนำแพดนั้นกระแทกศีรษะตัวเองสักสามรอบเผื่อสติจะคืนมาได้บ้าง ซึ่งความจริงแล้ว ทำได้เพียงแต่ยกกาแฟขึ้นมาจิบ พลางเลิกคิ้วใส่ลูกเรือที่ยังคงมองอยู่แก้เก้อ

การทำงานกะนั้นเป็นกะที่ยาวนานที่สุดในชีวิต..

 

 

จิมทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างไร้เรี่ยวแรง

ไม่ได้การ นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว สถานการณ์ยังน่าอึดอัดเข้าขั้นร้ายแรง จนต้องทำอะไรสักอย่าง..

เขาพลิกตัวไปมองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ.. ยังคงไม่มีข้อความใดๆ จนตอนนี้เขาเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ เขาเลื่อนเปิดกล่องข้อความล่าสุดจากสป็อค เรื่องที่คุยกันยังคงเป็นปาร์ตี้วันคริสมาสต์ พวกเขาไม่เคยเงียบหายกันนานขนาดนี้.. ไม่นับรวมเรื่องงาน ไม่คนใดก็คนหนึ่งจะต้องมีหัวข้อสนทนาขึ้นมากล่าวถึงเสมอ มือบางยันกายลุกขึ้นนั่ง สาเหตุคงจะมาจากเรื่องไหนไม่ได้ คิดไปก็ชวนให้หน้าเห่อร้อนขึ้นมาแปลกๆอีกครั้ง..

ใช่ว่าเขาไม่เคยผ่านเหตุการณ์ราวๆนี้ แต่ใช่ คนคนนั้นไม่ใช่สป็อค.. ไม่ว่าสป็อคจะคิดอย่างไรก็ตาม เขาต้องหยุดเรื่องนี้ และกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด ไวเท่าความคิด จิมกระโดดลงจากเตียง จากเวลาตอนนี้สป็อคน่าจะอยู่ที่ห้องแล็บ เขาจะไปดักรอ และเคลียร์ให้รู้เรื่อง

ขายาวตรงดิ่งไปยังจุดหมาย เร่งรีบให้ไวเท่าใจ จนเกือบจะชนชายหนุ่ม ทันที่ที่ประตูเปิดออก

 

“สป็อค!”

“กัปตัน.. คุณมีธุระอะไรที่นี่หรือเปล่าครับ?”

“ฉัน เอ่อ..” นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันที ที่การกระทำกับสิ่งที่คิดไปคนละทิศทางอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อแค่เขาเห็นใบหน้าอีกฝ่าย เหตุการณ์นั้นก็กลับเด่นชัดในความทรงจำ พาลให้พูดอะไรไม่ออกไปเสียดื้อๆ

สป็อคเลิกคิ้ว “ถ้าไม่มีอะไรผมขออนุญาตไปค้นคว้าข้อมูลต่อ”

จิมยืนนิ่งค้างอยู่ท่าเดิม มือที่ยื่นออกไปส่งไม่ถึงอีกฝ่ายที่อยู่ไกลเกินเอื้อม

 

ร่างเพรียวทรุดกายลงนั่งบนพื้นทางเดิน ไม่ถนัดรับมือกับ ‘อาการสาวน้อย’ ในตัวเขาตอนนี้เอาเสียเลย เครื่องมือสื่อสารถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง เพียงเพื่อจะพิมพ์ข้อความ

 

ทำยังไงถึงจะเฉยชาได้แบบนายนะ สป็อค..

 

และมันก็ถูกลบไป พร้อมๆกับเขาที่เดินไปจากที่ตรงนั้นเช่นกัน

 

.

.

 

“สุขสันต์วันหยุด เฮ้ย! จิม แกเป็นอะไร!?” โบนส์ถลาไปหาเพื่อนรัก ที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ พร้อมๆกับขวดเครื่องดื่มที่กระจัดกระจาย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวนั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไร ลูกเรือคนอื่นๆในบาร์ดูบางตา และทำสีหน้าเจื่อนๆใส่ ราวกับจะบอกเป็นนัยๆว่าพยายามปรามแล้ว

จิมเงยหน้าขึ้นมองช้าๆ ก่อนจะก้มลงไปตามเดิม “ม่ายยย ฉันโอเค โบนนนนส์ ก็นายออกกะช้า ฉันเลยดื่มรออออ”

“แบบนี้ไม่เรียกดื่มรอแล้วมั้ง” เขานอนฟังเสียงแก้วแต่ละใบถูกรวบรวมเก็บ จนเมื่อรับรู้ถึงน้ำหนักของโซฟาที่ยุบลงข้างๆก็ขยับกายเอนศีรษะซบบนไหล่กว้างนั้นอย่างเคยชินแม้จะหลับตาอยู่

 

“เป็นอะไรอีกล่ะ หืมม์?” สัมผัสนุ่มนวลบนเส้นผม ทำให้เผลอเปรยยิ้ม แม้ในใจจะหนักอึ้งเพียงใด

“ฉันควรทำยังไงดีโบนส์..” แค่คำพูดเดียว แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ดีจากเสียงถอนหายใจหนักๆ แม้จะยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง แต่จากเรื่องราวที่ผ่านๆมาคิดว่าคงจะเดาสาเหตุได้ไม่ยาก

“เปลี่ยนไปรักคนอื่น ฉันบอกนายแล้วไง”

“คราวนี้ฉันผิดเองที่ทำมันพัง ฉันมันแย่ เอาแต่อารมณ์”

เขามันบ้าไปเองที่เผลอปล่อยใจไปขนาดนั้น ตอนนี้มันไม่เหลืออะไร แม้แต่สถานะคำว่าเพื่อน ฝุ่นในอวกาศอย่างเขาจางหายไปจากจักรวาลในชั่วพริบตา..

 

“ไม่เลย เด็กน้อย เรื่องแบบนี้ไม่มีใครผิด” ปลายนิ้วเชยคางเขาให้เงยขึ้นสบตา “สิ่งที่นายต้องทำคือ ยอมรับหัวใจตัวเอง และใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง”

“นายจะให้ทำยังไงในเมื่อทั้งสองอย่างมันขัดแย้งกัน”

“เรื่องนั้นสักวันนายจะรู้ได้เองแน่ แต่ตอนนี้ กลับไปที่ห้องและนอนซะ เข้าใจไหม?”

 

เปลือกตาสวยหลับลง แม้ในใจจะยังมีคำถามต่อ แต่อย่างน้อยทุกครั้งที่ได้ระบายความอ่อนแอกับคนที่เข้าใจเขาที่สุดในชีวิตก็ทำให้สงบลงมากขึ้น

 

เมื่อลืมตาอีกทีก็พบว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงของตัวเองในเช้าอีกวันหนึ่ง เขาลุกขึ้น อาการปวดศีรษะที่คุ้นเคยจากแอลกอฮอล์เข้าโจมตีทันที ขาที่หนักอึ้งพยายามลากตัวเองมาที่ห้องน้ำ และพลาด เมื่อมือดันไปปัดโดนอะไรบางอย่างตกลงมาบนพื้นดังลั่น เขาสบถ ก่อนจะรีบร้อนเก็บมัน ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ถึงจะไม่แน่ใจว่าคนอีกฝั่งของห้องจะยังอยู่ในนั้นหรือไม่ก็ไม่อยากรบกวน

และในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ทุกอย่างจะตรงข้ามกับสิ่งที่หวังเสมอ.. ประตูอีกฝั่งถูกเปิดออกทันที

 

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” หากพอมีสติสักนิดคงสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงนั้นมีความร้อนรนเจืออยู่ไม่น้อย

“ไม่เป็นไร ฉันโอเค” จิมพยายามยืนตรงที่สุดในชีวิต ทว่าคงจะลุกขึ้นเร็วไป สมองเลยพาลวูบลงอีกครั้ง คราวนี้เขาล้มลงปะทะแผ่นอกกว้างของอีกคน

“คุณตัวร้อน”

“ฉันไม่เป็นไรจริงๆสป็อค แค่เมาค้างนิดหน่อย” เขาพยายามดันตัวเองออกห่างจากสป็อคให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่กลับถูกอุ้มจนปลายเท้าลอยขึ้นจากพื้นแทน จนแทบจะสร่างเมาเดี๋ยวนั้น

 

“เฮ้ย เดี๋ยว! ฉันเดินเองได้” ไม่มีคำตอบ ต้นเรือขี้เป็นห่วงพาเขามาส่งถึงเตียงนอนเหมือนเดิม ดวงตาสีฟ้ามองอย่างหวาดๆ นอกจากโบนส์แล้วก็มีสป็อคนี่แหละที่จะดุเขาตอนแฮงค์หนัก แต่ผิดคาด.. สป็อคนั่งลงข้างเตียง

 

“ผมขอโทษ..”

 

จิมกระชับมือที่กำผ้าห่มอยู่แน่น.. อาการปวดที่ศีรษะย้ายมาอยู่ที่หัวใจของเขาแทน

“ผมไม่ควรทำแบบนั้นกับคุณตั้งแต่แรก..” เขาพยายามค้นหาคำตอบจากดวงตาอีกคู่ แต่เหมือนเคย.. ไม่มีสิ่งใดสะท้อนกลับมา เขาไม่รู้ว่าสป็อคคิดอย่างไรพอๆกับที่ไม่รู้จริงๆว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นในตอนนั้น หรือ ปัจจุบัน

“ไม่เลย สป็อค ฉันต่างหาก..”

“คุณจะให้อภัยผมได้ไหม จิม..”

 

แล้วจูบนั้นมีความหมายอะไรกับนายบ้างไหม

 

ประโยคนั้นเขาไม่ได้ถามออกไป นอกจากการพยักหน้ารับรู้เท่านั้น เขาไม่อยากคิด ไม่อยากเสนอความคิดเห็น เขารู้สึกเหนื่อย และเฉยชา บทเรียนที่ผ่านมาทำให้เลือกจะวางตัวเองไว้อยู่มุมเล็กๆ จะเป็นอะไรก็ได้ ที่สป็อคอยากให้เป็น..

 

.

.

 

 

อะไรที่เปลี่ยนไปแล้ว จะแกล้งทำเป็นว่ายังเหมือนเดิมคงเป็นไปไม่ได้ หลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่เห็นสป็อคก็เหมือนมีคำถามในใจที่ไม่สามารถถามออกไปได้ แต่เขาเลือกที่จะเก็บมันไว้ ทิ้งให้กาลเวลากลบทับ จนเมื่อมันผ่านไป เขาคิดว่ารู้สึกดีขึ้น และอยากจะทำอะไรๆให้ผ่อนคลาย โดยเริ่มจากการชวนสป็อคมาเล่นหมากรุก

 

จิมนั่งเท้าคางดูสป็อคเรียงตัวหมากอย่างเพลิดเพลินในห้องนอนของเจ้าตัวที่เขาไม่ได้เข้ามานาน

“ถึงจะไม่ได้เล่นนาน ฉันก็ไม่ออมมือนะ บอกให้”

“นั่นเป็นคำพูดของผมต่างหาก จิม”

 

ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ พวกเขาพูดคุย และเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเหมือนเคย..

จิมลอบมองภาพสป็อคเพ่งไปที่กระดาน พลางคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ขออะไรมากไปกว่าการได้ยืนอยู่ข้างๆชายคนนี้ตลอดไป ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม และนาทีที่เขาคิดว่าจะหยุดไขว่คว้าจะเข้าไปอยู่ในจักรวาลนั้น หมากตัวหนึ่งก็ร่วงลงบนพื้นห้อง เหมือนภาพฉายทับซ้อน พวกเขาก้มลงเก็บมันพร้อมกัน จนมือสัมผัสกันโดยไม่ตั้งใจ จิมที่รีบชักมือกลับ ไม่ทันได้ระมัดระวังตอนเงยหน้าขึ้นมาจนกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะ

 

“จิม!?”

“ฉันโอเค แค่หัวโน” เขาพูดเจือหัวเราะให้กับความซุ่มซ่ามของตน เพิกเฉยต่อเสียงหัวใจที่เต้นรัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่

“ให้ผมดูแผลก่อน” ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นมา และตั้งใจจะดูให้จริงๆ สป็อคถอนหายใจกับอาการเอาสองมือมาปิดหน้าผากตัวเองราวกับเด็กๆ

“ไม่เอาน่าสป็อค ทำอย่างนี้ฉันอายมากกว่าเจ็บอีก ไปเล่นต่อซะ ตานายแล้ว”

“ผมขอปฏิเสธ” ทั้งสองยื้อกันอยู่นานจนจิมยอมแพ้ ปล่อยแรงต้านที่ข้อมือ ให้สป็อคสำรวจหน้าผากปูดๆแต่โดยดี ริมฝีปากที่ยกน้อยๆนั้นทำเอาเขาอยากจะเตะเข้าให้เสียทีด้วยความหมั่นไส้

“เห็นไหม พอให้ดูแล้วนายก็หัวเราะฉัน”

“วัลแคนไม่หัวเราะจิม ผมแค่พอใจที่คุณไม่เป็นอะไรมาก”

ดวงตาสีฟ้ามองค้อนให้กับคำพูดนั้น ก่อนจะพบว่าใบหน้าพวกเขาอยู่ใกล้กันกว่าที่คิด..

บทเรียนที่ได้รับบอกให้รีบผละออกไป เขานับถอยหลังให้ตัวเอง แต่กลับทำไม่ได้ ราวกับกำลังถูกสะกดไม่ให้ขยับไปไหน

เหตุการณ์คล้ายเดิมกลับมาอีกครั้ง.. เมื่อพวกเขาเคลื่อนกายเข้าหากันราวกับมีแรงดึงดูด จนกระทั่งริมฝีปากสัมผัสกัน จิมแตะมือลงบนท่อนแขนแข็งแรงผ่านเนื้อผ้า ตั้งใจแน่วแน่ที่จะผลักออกไป แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็นกำเสื่อเสว็ตเตอร์นั้นไว้แทน

 

“สป็อค คุณอยู่ไหม?”

 

เสียงคุ้นเคยของหญิงสาวดังผ่านอินเตอร์โฟน พวกเขาสะดุ้งผละออกจากกันแทบจะทันที จิมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปหาคนที่ยืนอยู่ หลังจากตั้งสติกันอยู่ชั่วอึดใจ สป็อคเป็นฝ่ายเดินไปหน้าประตูก่อน

 

“นีโยต้า คุณมีอะไรหรือเปล่า”

 

ไม่ได้ฟังเสียงทุ้มที่ตามหลัง จิมลุกออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าคนที่มาคือใคร เมื่อแน่ใจว่าใส่รหัสขังตัวเองไว้ในห้องได้สำเร็จแล้ว มือเรียวลูบหน้าตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติอีกครั้ง

 

..เขาทำมันลงไปอีกแล้ว..

 

จูบครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าเขาไม่อาจตัดใจได้เลย การที่คิดว่าจะสามารถยอมรับ และอยู่กับสิ่งที่เป็นนั้นมันผิดทั้งหมด

เพราะไม่มีอะไรที่ เจมส์ ที เคิร์ก อยากได้แล้วไม่ได้..

เหตุผลที่เก็บกดมันไว้เพียงเพราะมันเป็นเรื่องของสป็อค และเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึก ที่ไม่มีใครบังคับกันได้ ตอนนี้ทุกอย่างมันผิดที่ผิดทางไปหมด ขืนปล่อยเอาไว้จะยิ่งมีปัญหา เขาที่เป็นตัวต้นเหตุ ต้องถอยออกมาให้เร็วที่สุด

จิมนั่งลงบนเตียงช้าๆ พยายามเค้นความสามารถจากสมองอันชาญฉลาดถึงวิธีแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ จนกระทั่งเหลือบไปเห็น ข้อความที่ยังไม่ได้อ่านบนแพด..

สตาร์ฟลีท.. ยอร์คทาวน์..

 

 

.

.

.

 

 

“แล้ว? นายก็หนีออกมาทั้งอย่างนั้น?” น้ำเสียงกวนๆเอ่ยถาม หลังจากเขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดตามต้องการ จิมแทบไม่ต้องจินตนาการว่าอีกฝ่ายกำลังทำแบบไหนอยู่บนยานตอนนี้

“มันก็ไม่เชิงโบนส์.. แต่นายเข้าใจไหมว่าฉัน..”

“หึ.. ฉันว่าแล้วว่าเรื่องมันต้องไม่ต่างจากที่ฉันเดาไว้สักเท่าไหร่”

“นายหมายความว่ายังไง?” เขาขมวดคิ้ว พลางเดินไปอีกฟากของถนน ยืนเท้าระเบียงมองผู้คนสัญจรไปมาด้านล่างอย่างล่องลอย

“เอาเป็นว่า จิม.. ฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญวันคริสมาสต์นายเลย”

“อะไรของนายเนี่ย แล้วเซ็ตวิตามินที่วางอยู่บนห้องฉันมันก็ลงชื่อจากนายไม่ใช่หรือไง”

“ปีนี้ฉันเบิ้ลให้สองชิ้น..” เขาชะงัก เมื่อเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องวางแผนอะไรแปลกๆอีกเป็นแน่

“สุขสันต์วันคริสมาสต์ และ สวัสดีปีใหม่อีกครั้ง”

“เดี๋ยวโบนส์” ช้าไป สายถูกตัดไปแล้ว ดวงตาสีฟ้ารีบหันมองรอบตัวอย่างระแวง ด้วยรู้นิสัยของเพื่อนตัวเองดี และก็เป็นไปตามคาด..

 

ร่างของชาววัลแคนหนุ่มที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้า สองขาคิดจะหนีไปจากตรงนั้นทว่าอีกฝ่ายคว้ามือเขาไว้ได้ไวกว่า

“นายมาทำอะไรที่นี่ สป็อค?” น้ำเสียงห้วนเพียงเพราะไม่เข้าใจ.. ทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ทำไมต้องมีอะไรมาขัดขวางในเวลาที่เหมือนจะทำใจได้ และคราวนี้ก็เป็นสป็อค..

“ผมมาตามหาคุณ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องฉัน นายกลับไปคืนดีกับอูฮูร่าได้ตามสบาย.. ฉันแค่ขอเวลา..”

 

“ผมกับนีโยต้า เราเป็นแค่เพื่อนกัน จิม.. วันนั้นเธอแค่มาปรับความเข้าใจครั้งสุดท้าย และเราจบลงด้วยดี”จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง.. ภายในใจตีกันยุ่ง จากความตั้งใจที่จะเดินออกมากำลังสั่นคลอน สป็อคเหมือนจะรับรู้อาการสับสนนั้น.. เขาถูกดึงไปอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงอีกครั้ง

“ผมอาจเป็นวัลแคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ.. ผมสับสน จิม.. ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา ผมนั่งสมาธิ แต่ทุกอย่างกลับวกกลับมาที่เรื่องคุณ..” คำพูดที่ผ่านโสตประสาทราวกับความฝัน เขากระพริบตาถี่ๆ และลองกำหมัดแน่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป

“ผมรีบไปหาคุณทันทีที่รู้ แต่คุณไปแล้ว.. ผมใช้เวลา5วัน12ชั่วโมง43นาทีในการถามด็อกเตอร์แม็คคอย มันอาจทำให้มาหาคุณช้าเกินไป.. แต่ได้โปรด กลับไปที่เอ็นเตอร์ไพรซ์ด้วยกัน..” จมูกโด่งแตะสัมผัสข้างขมับเบาๆแทนคำขอโทษ

จิมมองลึกลงไปยังดวงตาคู่เดิมที่เขาเคยไม่เข้าใจ เวลานี้อะไรที่เคยบดบังมันเลือนหายไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมันกำลังทลายกำแพงในใจช้าๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สป็อคไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามใดๆที่จะบอกให้คนอย่างเขาเชื่อใจ.. เพราะไม่ว่าเมื่อไร เพียงแค่เอ่ยปาก ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวแสนไกลโพ้นเพียงใด เขาก็จะไป..

“จะไม่กลับได้ยังไงล่ะ ฉันเป็นกัปตันนะ” วงแขนเรียวโอบกอดตอบอีกฝ่ายในที่สุด ซุกใบหน้าลงบนบ่าที่ชวนคิดถึง

สป็อคนิ่งไปอึดใจ “แต่ด็อกเตอร์แม็คคอยบอกว่า คุณจะย้ายมาประจำที่ยอร์คทาวน์ถาวร”

“โบนส์น่ะเหรอ นายโดนหลอกแล้วล่ะ” เขาผละออกมา อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าคนเพิ่งได้รู้ความจริง

“จิม มันไม่ใช่เรื่องตลกจริงๆ หากผมจะไม่ได้เจอคุณอีก”

“เอาล่ะๆ ฉันรู้แล้ว ก่อนอื่น เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า แล้วค่อยคิดว่าจะพูดกับคุณปารีสยังไงให้ดูดีที่สุด” รีบรุนหลังอีกคนเป็นการตัดบท ด้วยตอนนี้แก้มเขาร้อนแทบจะไหม้กับถ้อยคำหวานเลี่ยนนั่นอยู่แล้ว

 

“จิม มีอีกเรื่องที่ผมยังไม่ได้บอกคุณ..”

“หืมม์?อะไรล่ะ” เขาเลิกคิ้วเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามา มือแกร่งเลื่อนมากอบกุมเขาไว้ ปลายนิ้วสอดประสาน

 

“ผมรักคุณ” จิมไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป รู้แต่เขากำลังยิ้ม รอยยิ้มที่มีความสุขจากใจจริงๆ ที่แทบจะลืมวิธีทำมันไปแล้ว

“ฉันก็รักนาย สป็อค..”

 

 

 

END